สูตรสมูทตี้

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

5 วิธีง่ายๆ ช่วยลด "คอเลสเตอรอล" หรือ "ไขมันในเลือด" อย่างได้ผล

กรกฎาคม 30, 2561

คนไหนกันแน่ที่ได้ไปตรวจสุขภาพรายปีมาแล้วต้องสะดุ้งกับจำนวนของไขมันในเลือดที่พุ่งสูงจนตัวเองยังตระหนกตกใจ และไม่เข้าใจว่าจำนวนนี้มาจากไหน ทั้งๆที่น้ำหนักก็ไม่ได้เกินมาตรฐาน รูปร่างก็ไม่ได้อ้วน รวมทั้งอาหารก็มิได้ทานอะไรที่รู้สึกว่าจะเพิ่มไขมันในเลือดได้เลย
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ไขมันที่อยู่รอบพุง รอบต้นแขน ต้นขา เป็นคนละชนิดกันกับไขมันที่อยู่ในเลือด ไขมันในเลือดจะสูงหรือต่ำ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่น้ำหนัก หรือรูปร่างของร่างกาย เพราะไขมันที่อยู่ในเลือดเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ว่ามีคนผอมๆ หลายคนต้องตกใจเมื่อตรวจเจอว่าตัวเองมีปริมาณไขมันในเลือดสูงกว่าคนอ้วนหลายๆ คนเสียอีก ดังนั้น การลดไขมันในเลือดจึงไม่อาจมองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้จากการมองดูด้วยตาภายนอก จะเช็กได้ก็ต่อเมื่อเจาะเลือดแล้วให้ทีมแพทย์เป็นผู้ตรวจเท่านั้น

>> ทำไม? คนผอม ถึงเสี่ยงไขมันในเลือดสูงกว่าคนอ้วน?

ลดคอเลสเตอรอลทำได้อย่างไร ?
ไขมันในเลือดสูง เป็นต้นเหตุของโรคอันตรายหลายโรค เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดสมองตีบ หัวใจล้มเหลว ไขมันพอกตับ เบาหวาน และโรคอื่นๆ ดังนั้นก่อนที่จะเกิดโรคเหล่านี้ เราจึงควรพยายามลดไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติให้ได้เร็วที่สุด มีวิธีง่ายๆ ที่ช่วยลดไขมันในเลือดได้ ดังนี้

1. ออกกำลังกาย
วิธีแรกๆ ที่อยากแนะนำ ก่อนจะพูดถึงเรื่องอาหารการกิน คือเรื่องออกกำลังกาย เพราะคนส่วนใหญ่มักคิดว่าไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกายมาจากอาหาร จึงเริ่มลดอาหารก่อน อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ความคิดที่ผิด แต่การลดไขมันในเลือดอย่างได้ผล ไม่ใช่แค่เรื่องของอาหารเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ ที่จะช่วยลดไขมันเลว และเพิ่มไขมันดีในร่างกายได้ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเปลี่ยนคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ให้กลายเป็นไขมันดีได้ โดยวิธีออกกำลังกายที่จะช่วยลดไขมันในเลือดได้เป็นอย่างดี คือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio) ที่เน้นการออกกำลังหัวใจให้แข็งแรง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย

การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่อยากแนะนำ คือ วิ่ง แอโรบิค ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ การเล่นกีฬาชนิดต่างๆ รวมไปถึงกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายของเราเหนื่อยหอบ มีเหงื่อไหลชุ่ม สามารถสลับวิธีการออกกำลังกายไปได้เรื่อยๆ แต่ควรใช้เวลาในการออกกำลังกายติดต่อกันอย่างน้อย 30 นาทีเป็นต้นไป ถ้าไม่ไหวให้ลดกำลังลง เช่น เปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดิน ลดความเร็วในการปั่นจักรยานลง เปลี่ยนท่าแอโรบิคเป็นท่าที่เบาลง หรือเปลี่ยนจากว่ายน้ำมาเป็นการตีขาเบาๆ แทน แต่ให้ทำกิจกรรมเหล่านั้นติดต่อกัน 30 นาทีให้ได้ และควรออกกำลังกายให้ได้ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ จะเล่นวันเว้นวัน หรือเล่นวันจันทร์ถึงพฤหัส แล้วหยุดศุกร์เสาร์อาทิตย์ก็ได้

นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยลดไขมันในเลือดได้อย่างได้ผลมากๆ แล้ว สิ่งที่เราได้รับเพิ่ม คือความแข็งแรงของหัวใจ ที่จะไม่ทำให้เราเหนื่อยง่ายเมื่อต้องเดิน หรือวิ่งในชีวิตประจำวัน

คำแนะนำเพิ่มเติม : เพื่อให้การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น ควรออกกำลังกายอบบเวทลิฟติ้ง (Weight Lifting) ควบคู่กันไปด้วย เช่น การยกน้ำหนัก ดัมเบล ลูกตุ้ม หรือใช้อุปกรณ์ในฟิตเนส หรือยิม เพราะการออกกำลังกายแบบนี้จะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน ทำให้มีกำลังในการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอเพิ่มขึ้น และยังได้รูกร่างสัดส่วนที่กระชับสวยงามมากขึ้นอีกด้วย

2. ลดการทานอาหารที่มีพลังงานสูงเกินไป
อาหารที่มีไขมันสูง ไม่ได้มีเพียงขาหมู ข้าวมันไก่ เนื้อหรือหมูติดมัน หรือของทอดที่เราเห็นไขมันด้วยสายตาเท่านั้น แต่รวมถึงอาหารที่มีการใช้ “ของเทียม” เยอะ เช่น ขนมปังเบเกอรี่ต่างๆ ที่มีการใส่เนยเทียม ครีมเทียมเยอะ หรือที่เราเรียกว่า “ไขมันทรานส์” นั่นเอง

>> "ไขมันทรานส์" คืออะไร? มีในอาหารใด? อันตรายอย่างไร?

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงอาหารที่มีแป้งไม่ขัดสี และน้ำตาลสูง เช่น ขนมขบเคี้ยว ของหวานชนิดต่างๆ เครื่องดื่มรสหวานมัน ฯลฯ และอาหารที่ผ่านกรบวนการแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม โบโลญญ่าต่างๆ อีกด้วย

3. ทานอาหารไขมันต่ำ
เลี่ยงอาหารเหล่านี้ด้วยการหันมาทานอาหารประเภทต้ม นึ่ง หรือย่างมากยิ่งขึ้น (ย่างด้วยไฟอ่อน ไม่ไหม้เกรียมจนเกินไป) ลดการทานแกงกะทิ หลีกเลี่ยงการทานเนื้อติดมัน และหนังสัตว์ เช่น หนังหมู หนังไก่ หนังปลา ลดเครื่องในสัตว์ และหลีกเลี่ยงการทานอาหารมากเกินความจำเป็น หากมีความต้องการที่จะทานอาหาร หรือเรียกง่ายๆ ว่าหิวยามบ่าย หรือยามดึก พยายามเลือกทานเป็นผลไม้น้ำตาล/แป้งต่ำ อย่าง ฝรั่ง ชมพู่ แอปเปิ้ล แก้วมังกร แคนตาลูป หรือถ้าหิวก่อนออกกำลังกาย ให้เลือกทานอีเนอจี้บาร์ (energy bar) ที่เป็นธัญพืชอบแท่ง หรือกล้วยสด เพื่อให้พลังงานที่เหมาะสม ก่อนเริ่มออกกำลังกาย และหากต้องการทานแป้ง เลือกข้าวไม่ขัดสีอย่าง ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ และขนมปังโฮลวีท จะดีกว่า

คำแนะนำ : หากจะทานผลไม้ ควรทานทั้งกาก คือทานทั้งชิ้นสดๆ ไม่คั้นดื่มเฉพาะน้ำ เพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินไปกับกากอาหารเยอะมาก และที่เราได้ดื่มส่วนใหญ่จะเป็นน้ำตาลเสียมากกว่า และหากเราทานสดทั้งชิ้นพร้อมกากใยอาหาร จะช่วยให้การทำงานของระบบขับถ่ายดีขึ้นอีกด้วย

4. เลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มแอลกอฮอล์
สองปัจจัยนี้ทำให้ร่างกายเกิดการสะสมของไขมันในเลือดได้เช่นกัน ดังนั้นหากอยากมีสุขภาพดี ควรเลือกพฤติกรรมทั้งสองอย่างนี้ด้วย

5. ลดการทานไข่แดง อาหารทะเล นมวัวสูตรปกติ
เฉพาะคนที่มีไขมันในเลือดสูงมากจริงๆ ควรลดการทานไข่แดงวันละไม่เกินครึ่งฟอง ลดการทานกุ้ง หอย ปลาหมึก และเปลี่ยนการดื่มนมเป็นสูตรพร่อมมันเนย แต่ใครที่ไม่ได้มีไขมันอยู่ในสูงมากจนต้องทานยา ยังสามารถทานอาหารเหล่านี้ได้ตามปกติ (ตามปกติ คือไม่ได้ให้ทานมากเกินไป แต่สามารถทานได้วันละนิดวันละหน่อยตามปกติ)

>> ไข่แดง กินมากไม่ดีต่อสุขภาพจริงหรือ?

ถ้าหากปฏิบัติให้ได้ตาม 5 ข้อนี้แล้ว สัญญาณของไขมันในเลือดยังไม่ดีขึ้นข้างใน 4 เดือนถึง 1 ปี ควรจะเจอแพทย์เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขด้วยวีธีอื่น เพราะเหตุว่าคุณอาจกำลังเสี่ยงมีไขมันในเลือดสูงจากต้นสายปลายเหตุอื่นที่จะต้องกระทำการรักษาเสริมเติมด้วยการใช้ยา ยกตัวอย่างเช่น พันธุกรรมจากครอบครัว หรือสำเร็จใกล้กันมาจากกระบวนการรักษาโรคประจำตัวอื่นๆฯลฯ

5 วิธีง่ายๆ ช่วยลด "คอเลสเตอรอล" หรือ "ไขมันในเลือด" อย่างได้ผล

กรกฎาคม 30, 2561

คนไหนกันแน่ที่ได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีมาแล้วจำต้องสะดุ้งกับตัวเลขของไขมันในเลือดที่พุ่งสูงจนกระทั่งตนเองยังตระหนกตกใจ และไม่เข้าใจว่าตัวเลขนี้มาจากไหน ถึงแม้ว่าน้ำหนักก็ไม่ได้เกินมาตรฐาน รูปร่างก็มิได้อ้วน และก็อาหารก็ไม่ได้ทานอะไรที่มีความคิดว่าจะเพิ่มไขมันในเลือดได้เลย
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ไขมันที่อยู่รอบพุง รอบต้นแขน ต้นขา เป็นคนละชนิดกันกับไขมันที่อยู่ในเลือด ไขมันในเลือดจะสูงหรือต่ำ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่น้ำหนัก หรือรูปร่างของร่างกาย เพราะไขมันที่อยู่ในเลือดเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่ว่ามีคนผอมๆ หลายคนต้องตกใจเมื่อตรวจเจอว่าตัวเองมีปริมาณไขมันในเลือดสูงกว่าคนอ้วนหลายๆ คนเสียอีก ดังนั้น การลดไขมันในเลือดจึงไม่อาจมองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้จากการมองดูด้วยตาภายนอก จะเช็กได้ก็ต่อเมื่อเจาะเลือดแล้วให้ทีมแพทย์เป็นผู้ตรวจเท่านั้น

>> ทำไม? คนผอม ถึงเสี่ยงไขมันในเลือดสูงกว่าคนอ้วน?

>> "ไขมันทรานส์" คืออะไร? มีในอาหารใด? อันตรายอย่างไร?

>> ไข่แดง กินมากไม่ดีต่อสุขภาพจริงหรือ?

ถ้าปฏิบัติให้ได้ตาม 5 ข้อนี้แล้ว สัญญาณของไขมันในเลือดยังไม่ดีขึ้นด้านใน 4 เดือนถึง 1 ปี ควรจะพบแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขด้วยวีธีอื่น เนื่องจากคุณอาจกำลังเสี่ยงมีไขมันในเลือดสูงจากมูลเหตุอื่นที่จะต้องทำรักษาเพิ่มด้วยการใช้ยา ยกตัวอย่างเช่น พันธุกรรมจากครอบครัว หรือสำเร็จข้างเคียงมาจากกระบวนการรักษาโรคประจำตัวอื่นๆเป็นต้น

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วิธีทำให้ผิวขาวแบบธรรมชาติ เห็นผลเร็ว อยากขาวทันใจไร้กังวล

กรกฎาคม 25, 2561

แนวทางทําให้ผิวขาวแบบธรรมชาติ ได้ผลเร็ว ผู้หญิงคนไม่ใช่น้อยที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ไม่ว่าจะผิวหน้าหรือผิวกาย คงจะกังวลกันไม่น้อย
ดังนั้น จึงสรรหา วิธีทําให้ผิวขาวแบบธรรมชาติ เห็นผลเร็ว มาใช้กันอยู่เป็นประจำ เพื่อช่วยเปลี่ยนผิวคล้ำให้ขาวใสขึ้นเร็ว

และวันนี้เราก็หยิบมาฝากแล้วค่ะ กับ วิธีทําให้ผิวขาว ง่ายๆ ทำตามนี้ รับรองเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วแน่นอน

แถมยังปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลตามมาภายหลัง มาดูกันเลยว่าต้องทำอย่างไร?

วิธีทําให้ผิวขาวแบบธรรมชาติ เห็นผลเร็ว ทำได้อย่างไรบ้าง?

1.ขัดผิวเป็นประจำ

การสครับผิวหรือขัดผิว เป็นวิธีทำให้ผิวขาวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะจะทำให้เกิดกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออก

อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ โดยอย่างน้อยควรสครับผิวสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์สครับจากท้องตลาด

หรือสาวๆ จะทำส่วนผสมในการสครับด้วยตัวเองก็ได้เช่นกัน ซึ่งเราสามารถคัดสรรส่วนผสมจากธรรมชาติได้อย่างง่ายๆ

ไม่ว่าจะเป็นการนำมะขามเปียก มะเขือเทศ มะละกอสด มะนาว ขมิ้น และน้ำผึ้ง ฯลฯ มาใช้เป็นส่วนผสมสครับ

และวันนี้เราก็มีสูตรขัดผิวขาวมาฝาก จะทำได้อย่างไรบ้าง มาดูสูตรไปพร้อมกันเลย

สูตรขัดผิวขาว มีอะไรบ้าง?

สูตร 1 ขัดผิวขาวด้วยมะขามเปียก

ส่วนผสม : มะขามเปียก + นมสด + น้ำผึ้ง + ขมิ้น

วิธีทำ คั้นน้ำมะขามเปียกกับน้ำอุ่นจนได้น้ำข้นๆ จากนั้นเติมนมสด ขมิ้นและน้ำผึ้งลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน

แล้วนำมาขัดผิวจนทั่วเรือนร่างเน้นจุดหยาบกร้านและหมองคล้ำเป็นพิเศษ จากนั้นพอกผิวทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที

แล้วล้างออกให้สะอาด โดยก่อนล้างออกให้นำใยบวบชุบน้ำแล้วขัดวนบนผิวจนทั่วสักครู่ แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

รับรองผิวจะขาวกระจ่างใสแลดูผุดผ่องเป็นยองใยขึ้นอย่างรวดเร็ว

สูตร 2 ขัดผิวขาวด้วยโยเกิร์ต

ส่วนผสม : โยเกิร์ตรสธรรมชาติ + น้ำมะนาว + เกลือเม็ดละเอียด

วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมจนเข้ากัน แล้วนำมาสครับลงบนผิวอย่างเบามือ ขัดวนเป็นวงกลมเรื่อยๆ จนทั่ว

ปล่อยไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด เกลือจะทำหน้าที่เป็นสครับในการขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน

ในขณะที่โยเกิร์ตจะบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้นและน้ำมะนาวก็จะช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวขาวใสขึ้นเร็วเช่นกัน

สูตร 3 ขัดผิวขาวด้วยเบกกิ้งโซดา

ส่วนผสม : เบกกิ้งโซดา + มะขามเปียก + เกลือ + นมสด

วิธีทำ คั้นน้ำมะขามเปียกให้ได้แบบข้นๆ จากนั้นนำส่วนผสมอื่นๆ มาผสมรวมกัน ปล่อยไว้สักพัก จากนั้นนำมาขัดผิวจนทั่ว

แล้วพอกผิวไว้ประมาณ 20-30 นาที จึงล้างออกให้สะอาด สำหรับสูตรนี้จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม

และขาวใสขึ้นอย่างทันใจเลยทีเดียว แต่จะต้องหมั่นทำเป็นประจำเช่นกันค่ะ

2.พอกหน้าอยู่เสมอ

นอกจากการขัดผิวเพื่อกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวเก่าให้หลุด ออกทำให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่อย่างกระจ่างใสแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ

เราจะต้องใส่ใจพอกหน้าอยู่เสมอด้วย เพราะการพอกหน้าเป็นการเติมสารอาหารบำรุงผิวอย่างล้ำลึกอีกชั้นมากขึ้นนั่นเอง โดย สูตรพอกหน้าขาว ก็มีดังนี้

สูตรพอกหน้าขาว มีอะไรบ้าง?
สูตร 1 พอกหน้าขาวด้วยมะนาว

ส่วนผสม : น้ำมะนาว + น้ำเปล่าเล็กน้อย

วิธีทำ เตรียมน้ำมะนาวไว้ในถ้วยเล็กๆ จากนั้นเติมน้ำสะอาดลงไปผสมเพื่อให้กรดจากน้ำมะนาวเจือจางลงเล็กน้อย

เสร็จแล้วชุบน้ำมะนาวด้วยสำลี แล้วนำมาทาลงบนใบหน้าจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาด

สำหรับสูตรพอกหน้าขาวด้วยน้ำมะนาวนี้เป็น วิธีทำให้ผิวขาว แบบได้ผลเร็ว แต่แนะนำให้ทำก่อนนอน โดยทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

ก็จะทำให้ผิวหน้าขาวใสขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แถมยังเป็นสูตรรักษาสิว ลดเลือนรอยสิวดำๆ ให้จางลงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สูตร 2 พอกหน้าขาวด้วยโยเกิร์ต

ส่วนผสม : โยเกิร์ตรสธรรมชาติ + น้ำมะนาว

วิธีทำ สูตรนี้เป็นอีกหนึ่งสูตรฮิตกับการพอกหน้าขาวใสด้วยโยเกิร์ตที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มสาวๆ เรา

เพียงนำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย มาผสมกับน้ำมะนาว 1/2 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้า

ปล่อยไว้ประมาณ 20-30 นาทีแล้วล้างหน้าให้สะอาด สูตรนี้จะช่วยทำให้ผิวขาวใส และเนียนนุ่มอย่างใจต้องการ

สูตร 3 พอกหน้าขาวด้วยมะขามเปียก

ส่วนผสม : มะขามเปียก + นมสด + น้ำผึ้ง

วิธีทำ คั้นน้ำมะขามเปียกให้ได้ข้นๆ ผสมกับนมสดและน้ำผึ้งลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากันแล้วนำมาพอกหน้าจนทั่ว

ปล่อยไว้ประมาณ 20-30 นาที จึงล้างหน้าให้สะอาด มะขามเปียกซึ่งมีกรด AHA จากธรรมชาติ

จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน ทำให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่

และยังทำหน้าที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิว อันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ดีอีกด้วย

ในขณะที่น้ำผึ้งและนมสดจะช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น แลดูอ่อนเยาว์ ส่วนผสมที่ผสานคุณค่ากันทั้งหมดนี้จะบำรุงผิวอย่างล้ำลึก

ทำให้ผิวหน้าสาวๆ ขาวกระจ่างใสทันตา แต่จะต้องหมั่นทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

3.บำรุงผิวด้วยไวท์เทนนิ่งเข้มข้น

ในส่วนของการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แนะนำให้ใช้ครีมและโลชั่นสูตรที่มีไวท์เทนนิ่งแบบเข้มข้นเพื่อช่วยกระตุ้นให้ผิวขาวขึ้นอย่างรวดเร็ว

หรืออาจจะใช้สูตรเซรั่มเพื่อผิวขาวก็ได้เช่นกัน เพราะเซรั่มเป็นผลิตภัณฑ์แบบน้ำใสๆ ที่จะช่วยซึมซาบลงสู่ผิวชั้นในได้เร็ว

ทาบำรุงให้เยอะๆ เช้า-เย็น รับรองค่ะว่าภายใน 1 สัปดาห์ ผิวขาวจะค่อยๆ ขาวกระจ่างใสอย่างรวดเร็วแน่นอน

4.บำรุงผิวด้วยเอเอชเอ

สำหรับสาวๆ ที่มีผิวหน้าหมองคล้ำ อยากให้ผิวหน้าขาวเร็วทันใจ สามารถบำรุงผิวด้วย AHA หรือหรือกรดผลไม้ได้ค่ะ

โดยสามารถหาซื้อได้ตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป วิธีการใช้ ให้นำมาทาลงบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวขาวใสขึ้นอย่างรวดเร็วดั่งใจ

อย่างไรก็ตาม การใช้กรด AHA นี้อาจทำให้ผิวมีความบอบบางและไวต่อแสงแดด เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด

จึงควรระมัดระวังเรื่องการออกแดด หรือทาครีมกันแดดและควรหลีกเลี่ยงแสงแดดร่วมด้วยจะดีที่สุด

5.ทาครีมกันแดดทุกวัน

การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เป็นอีกหนึ่งวิธีทำให้ผิวขาวเร็วทันใจแบบธรรมชาติ

เพราะในแต่ละวันแสงแดดร้อนแรงอย่างมาก ซึ่งรังสียูวีในแสงแดดนี่เองซึ่งเป็นตัวการทำลายผิวให้หมองคล้ำ

ดังนั้น จึงควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30-50 ขึ้นไป และควรทาซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมงเมื่อตากแดดเป็นเวลานาน

6.หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดด

นอกจากการทาครีมกันแดดแล้ว หากจะให้ผิวขาวใสเร็วขึ้นทันใจ ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดด้วยจะดีมาก

แต่สาวๆ คนไหนที่ไม่สะดวกหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ ก็สามารถเลือกใช้ตัวช่วยอย่างการกางร่ม สวมหมวกปีกกว้าง สวมแว่นตากันแดด

และสวมเสื้อคลุมแขนยาว สวมกางเกงขายาวเพื่อปกปิดผิวจากแสงแดดอีกชั้นหนึ่ง เพียงแค่นี้ก็จะช่วยถนอมผิวจากรังสียูวีได้มากขึ้นแล้วค่ะ

7.กินวิตามินซี

การกินวิตามินซีวันละ 2,000 มิลลิกรัม จะช่วยปรับสภาพผิวให้ขาวใสขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ

และยังสามารถเสริมสร้างคอลลาเจนรวมถึงอิลาสตินให้ผิว ทำให้ผิวพรรณแข็งแรง และทนทานต่อแสงแดดได้มากขึ้นด้วย

8.กินผักผลไม้ให้มากๆ

การกินอาหารที่มีประโยชน์อย่างผักและผลไม้ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุหลากหลายชนิด

และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของผิว ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ ห่างไกลจากริ้วรอย

นอกจากนี้ สารอาหารต่างๆ จากผักผลไม้ยังช่วยบำรุงผิวให้เปล่งปลั่งกระจ่างใส มีสุขภาพดี

และยังช่วยปกป้องผิวจากความหมองคล้ำที่เกิดจากแสงแดดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

9.ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร

การดื่มน้ำสะอาดให้มากเพียงพอต่อความต้องการร่างกาย นอกจากจะเป็นผลดีต่อการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ แล้ว

ยังช่วยบำรุงผิวให้มีความนุ่มชุ่มชื้น ทำให้ผิวเปล่งปลั่งกระจ่างใสได้อีกด้วย เพราะน้ำจะทำการดีท็อกซ์ของเสียออกจากร่างกาย

เมื่อของเสียหมดไป ผิวก็ย่อมเปล่งปลั่งกระจ่างใส ดูขาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่สำหรับใครที่เบื่อหน่ายกับการดื่มน้ำเปล่าจืดชืดเดิมๆ

ลองบีบน้ำมะนาวลงไปผสมเพิ่ม หรือดื่มน้ำมะนาวก่อนนอนหรือตื่นนอนเป็นประจำครั้งละ 1 แก้ว

ก็จะทำให้ระบบขับถ่ายของเสียทำงานได้ดียิ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งวิธีทำให้ผิวขาวกระจ่างใสเพราะน้ำมะนาวจะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน

10.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกาย เป็นตัวช่วยทำให้ผิวขาวใสได้อย่างดีเช่นกัน เพราะเมื่อเราออกกำลังกาย เหงื่อจะถูกขับออกมาจากรูขุมขน

ซึ่งเป็นการทำความสะอาดรูขุมขนในตัว สิ่งสกปรกและสารพิษก็จะถูกขับออกมาด้วย ยิ่งสาวๆ คนไหนที่แต่งหน้าบ่อยๆ

หรือผิวหน้ามักเผชิญกับมลภาวะเป็นประจำ การออกกำลังกายนี่แหละค่ะที่จะทำให้ผิวสว่างกระจ่างใสมากขึ้น

ทำให้กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ผิวพรรณก็จะสดใสอ่อนเยาว์อย่างมีสุขภาพดี และยังช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ด้วย

11.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

ร่างกายคนเราต้องการช่วงเวลาในการนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยควรนอนวันละ 7-8 ชั่วโมงอย่างเต็มอิ่ม

แต่จะต้องเข้านอนเร็วเท่านั้นนะคะ เพราะหากนอนดึกก็จะทำให้กระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่สึกหรอทำงานต่ำประสิทธิภาพลง

ดังนั้น หากสาวๆ เข้านอนเร็ว ไม่นอนดึกจนเกินไป โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมคือประมาณ 4 ทุ่ม เพราะช่วงเวลาดังกล่าวจนถึงตี 2

เป็นเวลาที่ฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์จะหลั่งออกมาบำรุงและซ่อมแซมผิว ทำให้สาวๆ ตื่นนอนยามเช้า

คุณก็จะพบกับสภาพผิวพรรณที่เปล่งปลั่งกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ หรือโทรม แถมรอบดวงตาก็ไม่ดำคล้ำเป็นหมีแพนด้าอีกด้วย

และนี่ก็คือ วิธีทําให้ผิวขาวแบบธรรมชาติ เห็นผลเร็ว เป็นวิธีที่เราคัดสรรจากธรรมชาติ สาวๆ สามารถทำได้ง่ายๆ เป็นประจำสม่ำเสมอ

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

กรดอัลฟาไลโปอิก ความวิเศษแห่งการต่อต้านอนุมูลอิสระ

กรกฎาคม 24, 2561

เมื่อเอ๋ยถึง กรดอัลฟาไลโปอิก ผู้คนจำนวนมากน่าจะเคยได้ฟังสรรพคุณกันมาบ้าง ในด้านต้านอนุมูลอิสระ ครั้งคราวก็ยกให้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระครอบจะวาล
แต่แท้จริงแล้ว กรดอัลฟาไลโปอิก นั้นทำหน้าที่เป็นแค่สารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพแค่นั้นจริงๆ หรือไม่

แล้วกรดกรดอัลฟาไลโปอิก มีแหล่งกำเนิดมาจากไหน เกิดมาจากไหน เรามาทำความรู้จัก กรดอัลฟาไลโปอิก กันดีกว่า ว่า…

กรดอัลฟาไลโปอิก คืออะไร?
กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha Lipoic Acid – ALA) จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถละลายตัวได้ในน้ำและน้ำมัน

โดยกรดอัลฟาไลโปอิกนั้น ร่างกายเราสามารถสร้างขึ้นได้เองโดยธรรมชาติ และเมื่ออายุที่เพิ่มมากขึ้นอัตตราการสร้าง กรดอัลฟาไลโปอิก ของร่างกายก็จะลดลงตามกาลเวลา มีผลทำให้เซล์ต่างๆเริ่มเสี่ยมลง

กรดอัลฟาไลโปอิก มีความสามารถในการจับสารอนุมูลอิสระ และยังช่วยให้สารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซี วิตามินอี กลูต้าไธโอน และโคคิวเทน ที่เสื่อมสภาพไม่สามารถทำงานได้แล้ว ให้กลับมาทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระใหม่ได้อีกครั้ง และยังเป็นตัวจับโลหะหนักเพื่อไม่ให้ร่างกายรับมากเกินไป

กรดอัลฟาไลโปอิก มีแหล่งกำเนิดมากจากที่ใด?
กรดอัลฟาไลโปอิก ถูกสร้างขึ้นจากไมโตคอนเดรีย โดยไมโตคอนเดรียนั้นมีหน้าที่เป็นแหล่งผลิตพลังงานให้กับเซลล์ พบมากในบริเวณกล้ามเนื้อ โดยกรดอัลฟาไลโปอิกนี้สามารถพบได้ทั้งในมนุษย์ ในสัตว์ และ ในพืช

กรดอัลฟาไลโปอิก สามารถมาจากที่ใดได้บ้าง?
กรดอัลฟาไลโปอิก สามารถพบได้ในอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในชีวิตประจำวัน เช่น เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อแดง เครื่องในต่างๆ และในพืช เช่น มะเขือเทศ แครอท มันฝรั่ง บล็อกโคลี่ และพบมาที่สุดในผักโขม

กรดอัลฟาไลโปอิก มีประโยชน์อย่างไรกับร่างกายของเรา?
กรดอัลฟาไลโปอิกเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง กว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆหลายเท่า จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ดีกว่าสารตัวอื่น
ช่วยทำให้สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆในร่างกายที่เสี่ยมสภาพแล้ว ให้กลับมามีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระได้อีกครั้ง
สามารลดระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการทำงานของอินซูลินและนำพากูลโคสเข้าสู่กระแสเดือด
เพิ่มอัตราเผาผลาญพลังงานในร่างกาย โดยช่วยเผลาผลาญกูลโคสในกระแสเดือด ไปใช้เป็นพลังงาน
ช่วยลดการอักเสบของระบบปลายประสาท
ช่วยลดการอุดตันในหลอดเลือด ลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
ช่วยปกป้องร่างกายไม่ให้ได้รับความเสียหายจากโลหะหนัก
ช่วยปรับสีผิวให้จางลง
เสริมฤทธิ์การทำงานของกลูต้าไธโอน และสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น

4 เคล็ดลับผิวขาวใส ไม่ต้องง้อกลูต้า

กรกฎาคม 24, 2561

มั่นใจว่าผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวๆล้วนต้องการมีผิวที่ขาวใสกันทุกคน อาจจะเป็นเพราะ ค่าความนิยมในขณะนี้ ที่เทรนด์ผิวขาวนั้นเป็นที่ชื่นชอบแล้วก็มาแรงอย่างใหญ่โต ทั้งยังโฆษณา ละคร ทีวีนั้น โดยมากมีแม้กระนั้นคนขาวด้วยกันทั้งนั้น
ทำให้สาวๆส่วนใหญ่หันมาดูแลเอาใจใส่ตัวเองมากขึ้น เพื่อต้องการให้มีผิวที่ขาวใสตามที่ตนเองปรารถนา ซึ่งวิธีที่ทำให้ผิวขาวใสนั้น มีมากมายหลายวิธีแตกต่างกันไป
โดยเฉพาะบางคนต้องการมีผิวขาวอย่างรวดเร็ว จนเผลอใช้วิธีที่ไม่ปลอดภัยด้วยการกินวิตามิน หรืออาหารเสริมกลูต้า หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียตามมาไม่น้อยเลย

บทความแนะนำ: กลูต้าไธโอน คืออะไร?

และวิธีที่ทำให้ผิวขาวนั้นยังมีอีกหลายวิธีมาก ที่ปลอดภัยและประหยัด วันนี้เราเลยนำเคล็ด(ไม่)ลับมาฝาก สำหรับสาวๆที่อยากมีผิวขาวใสในที่นี้กัน กับ…

4 เคล็ดลับ ผิวขาวใส ไม่ต้องง้อกลูต้า

1.กันแดดอย่าให้ขาด ก่อนออกจากบ้าน หรือต้องไปสถานที่ที่มีแสงแดดจัดๆ ควรทาครีมกันแดดบริเวณใบหน้า และลำตัวก่อนออกแดด ประมาณ 15 นาที แล้วจึงออกจากบ้าน เพื่อป้องกันแสงแดดที่มาทำร้ายผิว ที่สำคัญ ควรทาเป็นประจำทุกวัน
2.ใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว นอกจากทากันแดดแล้ว ควรใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาวควบคู่กันไปด้วย จะยิ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพในการกันแดดมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก แดดประเทศไทยนั้น อย่างที่รู้ๆกันว่า ร้อนกว่านี้ไม่มีแล้วจ้า
3.หมั่นทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ ซึ่งผิวของเรานั้น เป็นบริเวณที่ต้องการบำรุงและดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจาก ในแต่ละวันนั้น เราต้องเจอแสงแดดและมลพิษต่างๆมากมาย ซึ่งอาจทำให้ผิวได้รับการระคายเคืองหรือคล้ำลงได้ ดังนั้น ควรดูแลผิวด้วยการทาครีม หรือโลชั่นบำรุงผิว ที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน หากใครที่อยากมีผิวขาว เลือกครีมที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่ง รับรองไม่ผิดหวัง
4.ขัดผิวด้วยมะขาม ไม่ต้องเสียเวลาไปหาผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพง ธรรมชาติใกล้ๆตัวเรานี่เอง ก็ช่วยทำให้ผิวขาวได้เหมือนกัน นั่นก็คือ มะขามเปียกนั่นเอง เพียงแค่นำมะขามเปียก มาผสมกับน้ำ แล้วทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาขัดบริเวณลำตัวให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ควรทำสัปดาห์ละ 2 – 3ครั้ง หากทำอย่างสม่ำเสมอ ผิวขาวใสอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับเคล็ดลับที่นำมาฝากกันในวันนี้ แค่เลือกวิธีเหล่านี้มาปฎิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ทุกคนก็สามารถมีผิวที่ขาวกระจ่างใสกันได้ถ้วนหน้าแล้ว ถึงแม้ว่าจะเห็นผลช้าไปซักนิด แต่ความขาวที่ได้นั้นปลอดภัยแน่นอนค่ะ

สูตรน้ำมหัศจรรย์ 15 วัน ลด 6 โล ขจัดไขมันส่วนเกิน

กรกฎาคม 24, 2561

สำหรับคนอ้วนง่าย ไม่ว่าจะรับประทานอะไรเล็กๆน้อยๆก็อ้วนแล้ว เนื่องจากว่ามันคือเรื่องของระบบเผาผลาญในร่างกาย ถึงพวกเราจะพากเพียรลด เพียรพยายามอดอาหารแล้วก็ไม่เป็นผล ดีไม่ดีกินนิดเดียวน้ำหนักกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว!! เลยต้องการชี้แนะให้สหายๆลองทำน้ำน่าพิศวง สูตรนี้ดื่มมองจ้ะ เป็นน้ำขิงผสมน้ำผึ้งจะช่วยสำหรับในการปรับสมดุลในร่างกาย รวมทั้งทำให้ระบบเผาผลาญจะดีขึ้น

วิธีทำน้ำขิงผสมน้ำผึ้ง
(1) ใช้ขิงสด 2 ชิ้น หนักรวม 10 กรัม
(2) นำมาชงในน้ำอุ่น 200 มิลลิลิตร ห้ามใช้น้ำร้อนโดยเด็ดขาด เพราะอุณหภูมิที่สูงจะไปทำลายคุณประโยชน์จากขิง
(3) ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ลงไปในน้ำขิง คนให้เข้ากันแล้วดื่ม
(4) ดื่มทุกวันวันละ 3 ครั้ง ตอนเช้าดื่ม 1 แก้ว ตอนเย็น ดื่มก่อนทานอาหารเย็น 30 นาที และก่อนอาบน้ำนอนดื่มอีก 1 แก้ว

ดื่มแบบนี้ติดต่อกันเพียงครึ่งเดือน จะเริ่มเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
(1) น้ำหนักอาจลดลงได้มากถึง 6 กิโลกรัม
(2) ผิวจะเนียนละเอียดขึ้น
(3) ช่วยขจัดไขมันส่วนเกิน รอบเอวจะลดลง
(4) เมื่อดื่มติดต่อกันนานกว่าครึ่งปีขึ้นไป จะช่วยลดเลือนจุดด่างดำบนใบหน้า ทำให้ผิวดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น

เคล็ดลับเสริมดวง
ขิงสมุนไพรไทยรสชาติเผ็ดร้อน ที่มีสรรพคุณหลากหลาย เช่น ลดอาการท้องอืด, ช่วยบรรเทาอาการไมเกรน, ช่วยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนธาตุลม ที่มักจะชอบดื่มน้ำผักผลไม้ที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น น้ำกะเพราแดง น้ำขิง น้ำข่า น้ำตะไคร้ เป็นการช่วยบำรุงธาตุและส่งผลดีต่อสุขภาพด้วยค่ะ

สูตรลดน้ำหนัก40กิโลใน3เดือนเป็นสูตรที่ง่ายและไม่ต้องอดอาหาร

กรกฎาคม 24, 2561

สาวๆที่กำลังหาสูตรลดความน้ำหนักแบบสำเร็จ ข้างในไม่กี่เดือน วันนี้ พวกเรา ขอกล่าวถึงบทความดีๆในเว็บไซต์ไซค์ชื่อดัง Pantip.com เขียนสูตรโดยสมาชิก คุณ sukritudom ได้มาแบ่งปันสูตรลดน้ำหนัก ที่ไม่ต้องอด ก็แค่กินๆๆๆ แล้วก็กิน หิวก็กินๆๆๆๆ แต่จะกินอะไร อย่างไร ไปอ่านกันเลยคร่า ....ตื่นเต้นแล้วล่ะสิ อ่อ ลืมบอกไปอีกอย่าง สูตรนี้สามารถลดน้ำหนักได้ 40 กิโล ภายใน 3 เดือนด้วยนะคะ ..แต่สูตรไหนก็ไม่สำคัญสำคัญที่ใจ และต้องมีวินัยในการปฏิบัติด้วยนะคะ สู้ๆๆคร่าสาวๆๆ เพื่อความสวยเริ่ด ไม่พูดพร่ำทำเพลงล่ะ ไปอ่านกันคร่า
ต้องขอเกรินก่อนะคะ ว่าดิชั้นลดไป 30 กิโลใน 2 เดือน และลดอีก 10 กิโลใน 1 เดือนสุดท้ายคะ (ปล ดิชั้นเป็นเกย์นะคะ อิอิ ตอนนั้นหนัก 108 กิโลกรัม สูง 180 cm คะ)

สำหรับสูตรก็คือ

ให้ซื้อแตงโมตุนไว้เยอะๆๆคะ ซื้อก่อนเข้าทำงานหลายๆถุงเลยคะ แล้วก็เอาไปแช่ช่องแช่แข็ง(เป็นไอติมอร่อยๆๆคะ)หรือตุ็นเย็นไว้คะ

มื้อเช้า

ก็ให้ทานแตงโมเย็นๆกับน้ำเปล่าเยอะๆๆนี้แหละคะ หิวเมือไรก็คว้าแตงโมเข้าปากคะ

ที่ให้ทานแตงโมเพราะว่า แตงโมมีรสหวาน เพราะมีน้ำตาลโมเลกุลเล็กคะ ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว แล้วในการทำงานนั้น สมองต้องการน้ำตาลด้วยคะ (สมองคนเราต้องการน้ำตาลวันละ 120g นะคะ ฉะนั้นการอด crab เลยจะแย่ต่อสมองมากๆๆ รวมถึงในสมองก็มีน้ำอยู่เป็นส่วนประกอบหลัก ฉะนั้นทานน้ำเยอะๆๆคะ แถมการทานน้ำเย็น จะช่วงเพิ่มแมตตาบอริซึม หรือ การเผาพลาญ เพราะร่างกายต้องพยายามรักษาอุณหภูมิของร่างกายไว้ที่ 37 องศานะคะ ก็จะนำพวกไขมันส่วนเกินออกมาเผา ให้ร่างกายเกิดความร้อน เพื่อคงอุณหภูมิ นะคะ แถมกินน้ำเยอะ ต้องเดินไปฉี่บ่อย เวลาเดิน ก็ได้ออกกำลังกายด้วยนะคะ 5555 ห้ามอั้นปัสสาวะ นะคะ จะเป็นกระเพราะปัสสาวะ อักเสบได้คะ อันตรายมากๆๆๆ เดินบ่อยหน่อยก็ถือว่าออกกำลังกายนะคะ อิอิอิ)

ถ้าเบื่อแตงโม ให้ทาน ชมพู่ แทนได้คะ แต่ห้ามทานผลไม้เนื้อแน่นๆเป็นแป้ง พวก มะม่วง ฝรั่ง เพราะมันจะให้พลังงานสูงกว่าคะ เพราะสูตรของดิชั้น คือจะให้กินแตงโมทั้งวันคะ หิวเมื่อไร ก็แตงโมเมื่อนั้น

จากที่หามา เค้าบอกว่า แตงโม 100g ให้พลังงานแค่ 8 Kcal เองคะ ฉะนั้น กินแตงโม 1 กิโล เพิ่งได้พลังงานแค่ 80 Kcal เอง ไม่อ้วนแน่นอนคะ

(ผุ้หญิงใช้พลังงานวันละประมาณ 1500 Kcal) ฉะนั้น ถ้าจะลดความอ้วน ก็ไม่ควรจะกินเกิน 1000 kcal นะคะ

น้ำหนักที่หายไป 1 kg เท่ากับ 7700 Kcal นะคะ อันนี้หามาจาก net คะ

ถ้าคนน้ำหนักเยอะก็จะยิ่ง ใช้พลังงานเยอะขึ้นต่อวันคะ ก็จะทำให้ ช่วงแรกๆๆ ลดลงเร็วมาก แต่หลังๆๆจะลดช้าลง ก็ไม่ต้องเครียดว่าทำไมหลังๆๆไม่ลดนะคะ มันต้องใช้เวลานิดนึง

ต่อคะ

มื้อกลางวัน

มื้อกลางวัน ให้ทาน เกาเหลา ไม่ใส่หอมเจียว นะคะ หรือถ้ามีร้านส้มตำ ก็ ส้มตำเลยคะ ไก่ย่างเลยคะ หรือสเต็กปลา ก็ได้ แต่อย่าทาน คาร์โบไฮเดรตคะ สูตรนี้จะรับ คาร์โบไฮเดรต จาก แตงโม เท่านั้นนะคะ ห้ามทานของทอดด้วยคะ เพราะน้ำมันนี้มันอันตรายมากกกกกกกกกกกกก แล้วก็ห้ามทานหนังสัตว์

บ่ายๆ

แอบหิวตอนบ่ายกันใช่ไหมคะ เดินไปตู้เย้นเลยค้า แตงโม เจ้าเก่า อิอิอิ

เย็น

ตอนเย็นนี้กลับมาบ้านให้กินไข่ต้มคะ2-3ฟอง กินไข่แดงได้คะ ไม่ต้องเอาออกนะคะ เพราะไขมันในไข่แดงเป็นไขมันธรรมชาติ ร่างกายจะนำไปใช้คะ เช่นการสร้างวิตามิน D คะ แถมเคยอ่านเจอว่า ในไข่แดงมีสารลดไขมันในหลอดเลือดด้วยคะ

ไข่ต้ม 1 ฟองให้พลังงาน 75 Kcal โดยประมาณคะ
แต่ถ้าไข่ดาว 1 ฟอง ก็ 150 Kcal
ถ้าไข่เจียว 1 ฟองก็ 250 Kcal คะ

เห็นไหมคะ น้ำมันนี้มันน่ากลัวมากคะ

จะทานไข่ต้มกับสลัดก็ได้นะคะ แต่น้ำสลัดขอแบบญี่ปุ่นนะคะ อิอิอิ แล้วก็ไม่ใส่ ขนมปังอบนะคะ

ถ้าตลอดทั้งวันนี้มีตอนไหนหิวๆๆ ก็รีบกินแตงโมนะคะ ก่อนจะเผลอไปกินอย่างอื่น แล้วมานึกได้ที่หลัง

**** ห้ามกินกาแฟคะ เพราะให้พลังงานสูงมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากพวก นม น้ำตาล นมค้นหวาน ครีม ไรพวกนนี้อะคะ เห็นเค้าว่า เท่ากับข้าว 2 มื้อเลยคะ ****

**** เครื่องดื่มตลอดการลดน้ำหนักต้องเป็นน้ำเปล่า หรือ pepsi max นะคะ ****

ควรมีช่วง promotion ให้ตัวเองด้วยคะ เช่น ลดครบ 10 กิโลกรัม รับไปเลย บูลเบอรี่ชีสเค้ก 1 ชิ้น อะไรแบบนี้ ไม่งั้น ตายแน่คะ มันต้องมีพักกันบ้าง

เช่น 7 วัน พัก 1 มื้อ กินอะไรก็ได้ตามใจเรา อะไรแบบนี้อะคะ

Popular Posts

วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2561